Posted on Leave a comment

“การผ่าตัดเข่า” สิ่งที่ควรทราบ และการปฏิบัติตัว

การผ่าตัดเข่า

ถ้าผิวของข้อเข่าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการอักเสบของข้อเข่าหรือจากอุบัติเหตุ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเวลาเดินหรือขึ้นลงบันได ถ้ามีความเสียหายรุนแรงขึ้นจะรู้สึกปวดแม้ขณะนั่งหรือนอน การรักษาอาจเริ่มจากเปลี่ยนวิธีการใช้งานของเข่า ยาลดการอักเสบ หรือการใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดิน ถ้าการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้ไม่ได้ผลอาจจำเป็นต้องรักษาโดยวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement) ซึ่งเป็นการผ่าตัดตัดผิวที่เสียหายออกใส่ผิวใหม่ที่เรียบมันซึ่งทำจากโลหะและพลาสติกเข้าไปแทน เพื่อให้เข่ากลับไปใช้งานได้ตามเดิมอีกครั้ง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเริ่มมีการผ่าตัดครั้งแรกในปี 1968 หลังจากนั้นการผ่าตัดนี้ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านวัสดุที่ใช้และวิธีการผ่าตัด ทำให้การผ่าตัดให้ผลดีขึ้น

สาเหตุที่การทำงานของเข่าเสียไป

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ ภาวะข้อเข่าอักเสบ (Arthritis) ที่อาจเกิดจากภาวะข้อเข่าเสื่อม โรคข้ออักเสบเรื้อรัง เช่น รูมาตอยด์ (Rheumatoid) และการอักเสบจากอุบัติเหตุ

  1. ข้อเข่าเสื่อม มักเกิดในผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี เกิดจากการเสื่อมของผิวกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูก ทำให้กระดูกที่แข็งและไม่เรียบถูเสียดสีกัน ทำให้เกิดเสียงเวลาขยับเข่า มีอาการปวด และติดขัดเวลางอเข่า
  2. ข้ออักเสบเรื้อรัง ที่พบบ่อย คือ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยข้ออักเสบเรื้อรังจะทำให้เยื่อหุ้มข้ออักเสบหนาตัวขึ้น มีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงข้อมากขึ้นทำให้เข่าบวมแดง เมื่อมีการอักเสบนานจะทำให้ส่วนกระดูกถูกทำลายไป
  3. ข้ออักเสบจากอุบัติเหตุ กระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลายจากอุบัติเหตุ จากแรงกระแทกที่รุนแรง หรือจากการแตกร้าวของกระดูกและกระ ดูกอ่อน ซึ่งเป็นผลทำให้ผิวข้อเสียไม่เรียบ

การผ่าตัดเข่าเปลี่ยนข้อเทียม 

การรักษาข้อเข่าอักเสบเริ่มจากเปลี่ยนวิธีการใช้งาน ลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงกดและกระแทกที่เข่า เช่น การนั่งยองๆ, คุกเข่า, ขึ้นลงบันได, วิ่ง หรือการยกของหนัก ทานยาเพื่อลดการอักเสบในเข่า การบริหารกล้ามเนื้อเพื่อให้เข่ามีการเคลื่อนไหวที่มั่นคง ถ้าการรักษาเหล่านี้ไม่ได้ผล อาจพิจารณาฉีดยาเข่าในข้อเข่าเพื่อลดการอักเสบและเพื่อเพิ่มการหล่อลื่นในเข่า เช่น ยาพวกสเตอรอยด์ (Steroid) หรือน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมสังเคราะห์ หากยังไม่ได้ผลอาจใช้วิธีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมอาจทำให้ผู้ป่วยลดการเจ็บปวดและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมสมควรทำในผู้ป่วย

  1. ปวดเข่ามากจนทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น ปวดมากเวลาเดิน ขึ้นลงบันได ลุกหรือนั่ง
  2. ปวดเข่าเวลาพัก เช่น ปวดเวลานอน
  3. มีการอักเสบบวมแดงของเข่า โดยมีอาการบ่อยและเรื้อรัง
  4. มีการผิดรูปของเข่า เช่น เข่าโค้งออก หรือเกเข้าใน
  5. ขยับเข่าติดขัดลำบาก งอ หรือเหยียดเข่าลำบาก
  6. ใช้การรักษาแบบอื่น เช่น เปลี่ยนวิธีการใช้งาน ยาทาน หรือการฉีดยาเข้าในเข่าไม่ได้ผล

ส่วนใหญ่การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจะทำในผู้ป่วยอายุ 60 – 80 ปี การพิจารณาผ่าตัดจะพิจารณาเป็นรายๆ ไปขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค ก่อนการรักษาจำเป็นต้องตรวจ

  1. ประวัติสุขภาพทั้งหมด อาการ ลักษณะการปวดเข่า และความสามารถในการใช้งานของเข่า
  2. ตรวจร่างกาย ตรวจการทำงานของเข่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ เข่า และความแข็งแรงของเอ็นรอบๆ เข่า
  3. X-Ray เพื่อดูพยาธิสภาพ ความเสียหายของเข่า
  4. บางครั้งอาจต้องมีการตรวจเลือด X-Ray พิเศษ หรือตรวจ MRI เพื่อดูสภาพของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อต่างๆ รอบกระดูก
การผ่าตัดเข่าเปลี่ยนข้อเทียม

ผลการรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม

มากกว่า 90 เปอร์เซ็นของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมจะรู้สึกเจ็บปวดลดลง และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับปกติ กิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม คือ กีฬาที่มีแรงกระแทกรุนแรงที่ข้อเข่า เช่น การวิ่งหรือกระโดด ซึ่งแรงกระแทกจะทำให้ส่วนที่เป็นพลาสติกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นอกจากนี้การนั่งคุกเข่า นั่งยองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนั่งส้วมแบบนั่งยองๆ ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด

ชนิดของข้อเข่าเทียม

  1. ชนิดเปลี่ยนข้อเข่าทั้งหมด (Total Knee Replacement) ตัดผิวข้อทั้งส่วนปลายต้นขา (Femur) และส่วนบนของกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) และแทนที่ด้วยผิวโลหะโดยมีแผ่นพลาสติกกั้น
  2. ชนิดเปลี่ยนเพียงด้านเดียวของผิวข้อ (Unicompartmental Knee Replacement) โดยเปลี่ยนผิวทั้งด้านต้นขาและกระดูกหน้าแข้งเฉพาะด้านที่มีอาการเสื่อม ข้อดีของการผ่าตัดแบบนี้ คือ แผลเล็ก การตัดกระดูกและเนื้อเยื่อต่างๆ น้อย ผลทำให้การเจ็บปวดน้อยลง และกล้ามเนื้อกลับสู่สภาพปกติเร็วขึ้น แต่ข้อจำกัดของการผ่าตัดแบบนี้ คือ เหมาะกับเข่าที่มีพยาธิสภาพน้อยเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของเข่า

ปัญหาสำคัญหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมที่พบได้บ่อยๆ คือ

การติดเชื้อหลังการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมซึ่งมีโอกาสพบได้ใน 1-2% ข้อเข่าหลวมหลังจากการใช้งานที่ยาวนาน
ข้อเข่ายึดติดไม่สามารถงอเข่าหรือเคลื่อนไหวข้อเข่าได้ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมไปแล้ว นานวันเข้าแม้จะไม่มีการแสดงอาการถึงความเจ็บปวดของข้อเข่า จึงไม่ได้ไปพบแพทย์ตามที่นัดเพื่อตรวจดูอาการ เพราะอาจจะคิดไปเองว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่นั่นอาจเป็นบ่อเกิดของปัญหาใหญ่ที่จะทำให้ข้อเข่านั้นเกิดการติดเชื้อของข้อเข่าเทียมที่เคยได้รับการผ่าตัดมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ เพราะผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมนั้นควรได้รับการตรวจดูอาการตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลหลังผ่าตัด

วิธีการดูแลหลังการผ่าตัด สิ่งที่สำคัญโดยปกติแพทย์ที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมให้ผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะนัดผู้ป่วยเพื่อตรวจดูอาการหลังจากผ่าตัดที่ 1 สัปดาห์ และสัปดาห์ที่ 2 แพทย์จะนัดมาดูแลผ่าตัดว่า มีลักษณะที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อหรือไม่ หลังจากนั้นแพทย์ก็จะนัดอีก 1 เดือน 3 เดือน 6เดือน และ 1 ปี ตามลำดับ จากนั้นทุกๆ 1 ปี แพทย์จะนัดติดตามดูอาการ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเริ่มแรก สุดท้ายนี้ ผู้ป่วยที่จะต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม มีข้อควรพิจารณาเพื่อใช้ประกอบในการผ่าตัดคือ ผู้ป่วยควรเตรียมร่างกายให้พร้อม มีโรคประจำตัวอย่างไรต้องรักษา เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่นถ้ามีโรคเบาหวานก็ต้องรักษาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พิจารณาเลือกใช้ข้อเข่าเทียมที่ได้มาตรฐานและประการสุดท้ายคือ พิจารณาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมที่ได้มาตรฐานและมีประสบการณ์

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“โรคกระดูกเข่าเสื่อม” สาเหตุและข้อควรรู้

โรคกระดูกเข่าเสื่อม

โรคกระดูกเข่าเสื่อม“เป็นโรคที่พบได้บ่อย ในคนสูงอายุและคนอ้วน มักจะเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง นอกจากอาการปวดทรมาน เดินไม่ถนัด ขาโก่ง เข่าทรุด อันตรายร้ายแรงมักเกิดจากการใช้ยาอย่างผิดๆ ดังนั้น จึงต้องเรียนรู้วิธีอยู่กับโรคนี้อย่างมีความสุขและปลอดภัย

เกิดจากการเสื่อมชำรุดหรือการสึกหรอ ของข้อเข่า ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้งานมาก การบาดเจ็บ หรือมีแรงกระทบกระแทกต่อข้อมาก (เช่น น้ำหนักมาก เล่นกีฬาหนักๆ) ทำให้กระดูกอ่อนที่บุอยู่ตรงบริเวณผิวข้อต่อสึกหรอ และเกิดกระบวนการซ่อมแซม ทำให้มีปุ่มกระดูกงอกรอบๆ ข้อต่อ ปุ่มกระดูกที่งอกบางส่วน จะหักหลุดเข้าไปในข้อต่อ ทำให้ขัดขวางการเคลื่อนไหวของข้อต่อ และข้อต่อมีเสียงดังเวลาเคลื่อนไหว

การงอเข่า เช่น นั่งยองๆ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ การเดินขึ้น_ลงบันได เป็นต้น จะทำให้เกิดแรง กดดันที่ข้อต่อ เป็นเหตุให้ผิวข้อเสื่อมได้เช่นกัน
เมื่อกระดูกเข่าเสื่อม ก็จะส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆ ข้อเข่ามีการอักเสบและอ่อนแอร่วมไปด้วย ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าอ่อน (เข่าทรุด) และเมื่อเป็นมากๆก็จะทำให้เกิดอาการขาโก่ง

พฤติกรรมเสี่ยงโรคกระดูกเข่าเสื่อม

ปัจจุบันในกลุ่มวัยทำงานก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูก เพราะเป็นวัยที่ใช้ร่างกายหนัก และพักผ่อนน้อย อีกทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน นั่งทำงานในออฟฟิศ มักนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน หรืออาจจะยกของหนัก ก้ม ๆ เงย ๆ ผิดวิธี ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกได้ ถึงแม้อายุจะยังไม่เข้าสู่คนสูงวัยก็ตาม

แม้จะอยู่ในวัยทำงาน แต่หลายคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรค หรือเป็นปัญหาของผู้สูงอายุ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนในวัยทำงานก็สามารถเป็นได้เช่นกัน อาจจะเกิดการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา การใช้งานข้อเข่าที่หนักไป อุบัติเหตุต่าง ๆ หรือแม้แต่น้ำหนักตัวของเรา ก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้ โรคข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการปวด บวม ที่ข้อเข่า ได้แก่ ปวดบริเวณข้อเข่าขณะเดิน หรือเดินขึ้นลงบันได ข้อฝืด มีเสียงดังเวลาเคลื่อนของข้อเข่า หรือตึงข้อขณะเคลื่อนไหว เช่นมีอาการหลังตื่นนอน ไม่สามารถขยับข้อเข้าได้ตามปกติ ความสามารถในการใช้งานข้อเข่าลดลง เช่น ไม่สามารถเดินขึ้นลงบันไดได้ ขึ้นลงรถลำบาก หากปล่อยไว้นาน จะเกิดภาวะแทรกซ้อน คือ ข้อเข่าผิดรูป เช่น ขาโก่งจากข้อเข่าเสื่อมได้

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความเสื่อมสภาพของร่างกายก็ย่อมเป็นไปวัย โดยเฉพาะเรื่องของกระดูกที่ไม่ว่าจะเป็นในวัยเด็ก หรือวัยทำงานก็สามารถเกิดขึ้นได้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้สูงวัยที่เมื่ออายุมากขึ้นแล้ว จะไม่พบเจอกับปัญหาโรคกระดูก

พฤติกรรมเสี่ยงโรคกระดูกเข่าเสื่อม

กระดูกเข่าเสื่อมเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง

กระดูกสะโพกหัก

กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุทีไม่รุนแรง เช่น ตกเตียง ตกจากเก้าอี้ ลื่นล้มในห้องน้ำ และมักพบว่ามีภาวะกระดูกพรุนร่วมด้วย ผู้สูงอายุที่กระดูกหักต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์ เพื่อให้กระดูกเคลื่อนกลับเข้าที่และอยู่ในตำแหน่งเดิมจนกว่าจะหายดี โดยแพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป ได้แก่ ผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูก ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก เป็นต้น

ข้อเข่าเสื่อม

ภาวะข้อเขาเสื่อมคือเมื่ออายุมากขึ้นหรือมีการใช้ข้อต่าง ๆ มากขึ้น กระบวนการสลายของกระดูกอ่อนจะเกิดมากกว่ากระบวนการสร้าง และเมื่อบวกกับความเสื่อมของสุขภาพ จึงส่งผลให้กระดูกอ่อนบริเวณข้อมีปริมาณลดลง ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการรักษา โรคก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และเมื่อมีการเคลื่อนไหวก็จะทำให้เกิดการเสียดสีจนสึกกร่อน รู้สึกฝืดที่ข้อเข่า เข่าผิดรูปและทำให้เกิดความเจ็บปวด หากมีอาการติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและหาทางรักษา เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อาการมีความรุนเแรงยิ่งขึ้น

กระดูกพรุน

คือ โรคที่มีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลง มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูก มีผลทำให้กระดูกไม่สามารถรับน้ำหนัก หรือแรงกดดันได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการกระดูกหักง่ายกว่าปกติ ตำแหน่งที่พบกระดูกหักบ่อย ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือโดยเฉพาะตำแหน่งของกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลังที่พบว่ามีโอกาสหักมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น สำหรับโรคกระดูกพรุนจะไม่พบว่ามีอาการใดๆ เลย เพราะพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นเกิดจากการสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะหักง่าย ส่วนใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม น้ำเต้าหู้ ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อย จะช่วยป้องกัน ช่วยชะลอ หรือช่วยลดความรุนแรงของโรคกระดูกพรุนได้

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น การเสื่อมของร่างกายก็มักมีเข้ามามากมาย โดยเฉพาะเรื่องของกระดูก ที่เห็นได้บ่อย ๆ ก็จะเป็นในเรื่องของอาการปวดหลัง ปวดขา โดยโรคนี้มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่อายุมากขึ้น อันเนื่องมากจากความเสื่อมสภาพของข้อกระดูกสันหลังทรุดตัวลง และไปกดทับเส้นประสาทได้ รวมไปถึงการเกิดของกระดูกงอก หรือหินปูนที่เกิดขึ้น จนทำให้ไปทับเส้นประสาทได้ในที่สุด การรักษาโรคกระดูกทับเส้น แพทย์จะดูแลรักษาตามสภาพอาการ ตั้งแต่แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการยกของหนัก ควบคู่ไปกับการกินยาแก้ปวด และการออกกำลังกายในช่วงที่ยังเป็นไม่มากนัก แต่หากอาการหนักขึ้นมาอีกก็ต้องทำกายภาพบำบัด หากยังไม่หายก็ต้องพิจารณาฉีดยาเข้าช่องประสาทไขสันหลัง หรือทำการผ่าตัดรักษา

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

โรค “เก๊าท์” สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโรคนี้

เก๊าท์

เป็นโรคข้ออักเสบที่ทำให้มีอาการปวดแสบร้อน บวม แดงตามข้อต่ออย่างเฉียบพลันเป็นระยะ ๆ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเดียวหรือหลายข้อต่อพร้อมกัน โรคเก๊าท์เกิดจากภาวะกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกิดเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวดบวมอย่างรุนแรง ทั้งนี้ กรดยูริกเปรียบเสมือนของเสียในร่างกายที่เหลือจากการกำจัดเซลล์ที่หมดอายุลง โดยร่างกายของแต่ละคนจะมีกรดยูริกอยู่ประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มักได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป

อาการของโรคเก๊าท์

ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีอาการปวด บวมแดง ร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลันทันทีทันใด โดยมักเริ่มจากข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก โรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย

อาการปวดอย่างรุนแรงตามข้อต่อเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้อต่อหลายส่วนตามร่างกายได้ เช่น ข้อเท้า ข้อศอก หัวเข่า ข้อต่อกระดูกมือ หรือข้อมือ อาการปวดจะรุนแรงในช่วง 4-12 ชั่วโมงแรก จากนั้นจะเริ่มปวดน้อยลงและมีอาการดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดได้นานหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น   

  1. ข้อต่อเกิดการอักเสบและติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อต่อ จนทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นสีแดง บวมแดง และแสบร้อน
  2. เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวกจากภาวะข้อติด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น
  3. ผิวหนังบริเวณข้อต่อเกิดการลอกหรือคันหลังจากอาการของโรคดีขึ้น

อาการของโรคเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มักเป็น ๆ หาย ๆ จนกว่าจะได้รับการรักษา โดยมักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนได้บ่อยกว่าช่วงเวลาอื่น อย่างไรก็ตามควรรีบไปพบแพทย์หากผู้ป่วยมีไข้ ปวดข้ออย่างรุนแรง จนทำให้ผิวหนังบวมแดงและแสบร้อนขึ้น เพราะอาการปวดข้ออาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดได้ว่าเป็นสัญญาณของโรคข้ออื่น ๆ การปล่อยให้โรคพัฒนารุนแรงขึ้นโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่อาการปวดอย่างเรื้อรังและสร้างความเสียหายให้กับข้อต่อได้

สาเหตุของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เป็นผลมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวะของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูริกในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดการตกผลึกตามข้อต่าง ๆ จนเกิดอาการปวดบวมตามข้ออย่างรุนแรงและอาการอื่น ๆ ของโรคตามมา

กรดยูริกเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการย่อยสลายสารพิวรีน (Purines) ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายและอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการกรองจากไตก่อนมีการขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกมากขึ้นจากการสร้างของร่างกาย จากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง หรือไตมีความผิดปกติในการกรองสารพิวรีน มักนำไปสู่ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น  

  1. การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
  2. การรับประทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
  3. ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ
  4. การดื่มน้ำอัดลมเกินปริมาณที่พอดีต่อวัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำอัดลมประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้สูงถึง 85% นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลไม้และน้ำผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มาก
  5. อาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น โรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง หรือความผิดปกติทางเลือดบางอย่าง
  6. ยาบางประเภทที่ส่งผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย เช่น ยาขับปัสสาวะ  ยาเคมีบำบัดบางชนิด ยาแอสไพริน และยาลดความดันโลหิตบางชนิด
  7. โรคประจำตัวหรือสภาวะของร่างกายบางอย่าง เช่น ภาวะอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ไตทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องเอนไซม์ ความผิดปกติของไขกระดูก โรคหลอดเลือดผิดปกติ
  8. มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย

การรักษาโรคเก๊าท์

แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์คือการลดกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลง ซึ่งทำได้โดยการรับประทานยาละลายผลึกกรดยูริกแล้วให้ร่างกายขับออก เมื่อกรดยูริกลดต่ำลงก็จะเกิดการอักเสบน้อยลง
ทั้งนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาอาการอักเสบเฉียบพลันแล้ว ยังเป็นการป้องกันการกลับมาสะสมใหม่และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรค รวมถึงการเกิดปุ่มหรือก้อนผลึกกรดยูริกในเนื้อเยื่อที่เรียกว่าก้อนโทฟัส (tophus) ซึ่งทำให้ดูไม่สวยงาม

โรคเก๊าท์สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาเป็นหลัก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาดูจากหลายปัจจัยประกอบในการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทั้งอาการของโรค สุขภาพโดยรวม หรือการพูดคุยกับผู้ป่วย ควบคู่กับการปฏิบัติตนเพื่อเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของโรค ในบางรายที่ปล่อยให้โรคดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รักษา แพทย์อาจใช้วิธีการผ่าตัดทดแทนการใช้ยา ซึ่งเป้าหมายของการรักษาจะช่วยในการบรรเทาอาการปวดให้ลดลงอย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดของโรคเก๊าท์ในบริเวณข้ออื่น ๆ ในอนาคต รวมไปถึงลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น โครงสร้างข้อต่อผิดรูป ไตเกิดความผิดปกติ

การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคเก๊าท์ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางส่วนอาจมีส่วนช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้

  1. ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ และไม่ทำให้เกิดการตกตะกอนในระบบทางเดินปัสสาวะที่นำไปสู่การเกิดนิ่วในไต
  2. หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในปริมาณที่พอดี
  3. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล สัตว์ปีก ถั่วบางชนิด สารสกัดจากยีสต์ แต่อาจทดแทนด้วยโปรตีนที่ได้จากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ
  5. ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ไม่ควรอดอาหารหรือลดน้ำหนักรวดเร็วจนเกินไป

การดูแลเพื่อลดอาการปวด ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดในเบื้องต้นได้ด้วยการหยุดเคลื่อนไหวบริเวณที่มีอาการปวดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังมีอาการ โดยพยายามยกบริเวณข้อต่อที่ปวดให้อยู่สูง หากมีอาการบวมแดงอาจบรรเทาด้วยการประคบน้ำแข็ง หรือรับประทานยาในกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแอสไพริน

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“อาหารเสริมข้อเข่า” ที่ควรทานสำหรับผู้ป่วยข้อเข่า

อาหารเสริมข้อเข่า

หากเกิดโรคเกี่ยวกับข้อเข่าแล้ว มันเป็นอาการป่วยเรื้อรังที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากการรักษาโดยแพทย์ ผู้ป่วยอาจเลือกรับประทานอาหารบางชนิด เพื่อบำรุงร่างกายและบรรเทาอาการต่าง ๆ จากข้อเข่าเสื่อม เช่น อาการปวด บวม อักเสบ และข้อต่อกระดูกติดขัด รวมทั้งอาจหลีกเลี่ยงอาหารในกลุ่มเสี่ยงที่ทำให้อาการทรุดหนักลง ซึ่งสามารถศึกษาได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้

อาหารบรรเทาอาการโรคข้อเข่า

แม้อาหารจะไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคหรืออาการใด ๆ โดยตรง แต่อาหารก็เป็นอีกหนึ่งวิธีบรรเทาอาการต่าง ๆ ของข้อเข่า เพราะผู้ป่วยจะได้รับสารอาหารนานาชนิดที่ส่งผลดีต่อร่างกายจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยสารอาหารเหล่านั้นอาจช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดการอักเสบ และช่วยเสริมสร้างข้อกระดูกให้แข็งแรงได้

โดยสารอาหารและตัวอย่างอาหารที่อาจช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม ได้แก่

  1. วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงเอ็นข้อต่อ ผู้ป่วยข้ออักเสบควรบริโภควิตามินซีประมาณ 90 มิลลิกรัม/วันในเพศชาย และประมาณ 75 มิลลิกรัม/วันในเพศหญิง ตัวอย่างอาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ส้ม สับปะรด ฝรั่ง บรอกโคลี มะเขือเทศ มะละกอสุก กะหล่ำปลี และดอกกะหล่ำ เป็นต้น
  2. วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างความแข็งแรงขอๆงกระดูก ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้ทางผิวหนังจากการรับแสงแดด โดยควรรับแสงแดดอ่อน ๆ แต่ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดจ้า หรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานานเกินไป นอกจากนี้ สามารถรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูงได้จากอาหารจำพวกนม ไข่ ปลาซาดีน และอาหารทะเล
  3. สารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) เช่น เควอซิทิน (Quercetin) และแอนโทไซยานิดิน (Anthocyanidins) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบคล้ายยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน โดยอาหารที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ ได้แก่ เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แอปเปิ้ล ชาเขียว หัวหอม และมะเขือเทศ
  4. เบตาแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งช่วยขจัดสารอนุมูลอิสระที่อาจมีส่วนทำลายข้อต่อกระดูกต่าง ๆ โดยอาหารที่มีเบตาแคโรทีนสูง ได้แก่ แครอท แคนตาลูป ใบสะระแหน่ ผักปวยเล้ง และหน่อไม้ฝรั่ง  
  5. กรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดข้อต่อกระดูก และลดอาการข้อติดขัดในตอนเช้า โดยอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาซาดีน ปลาทูน่า และปลาแซลมอน
  6. คอลลาเจนไทพ์ทู (Collagen Type II) หรือคอลลาเจนชนิดที่ 2 คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน ซึ่งปัจจุบันมีการสกัดคอลลาเจนจากกระดูกอ่อนอกไก่เพื่อนำมาใช้รักษาอาการปวดข้อต่อที่เกี่ยวกับโรคข้ออักเสบชนิดต่าง ๆ โดยอาจมีกลไกที่ช่วยต้านอาการปวดและบวมจากการอักเสบ ทั้งนี้ ยังมีอีกงานวิจัยหนึ่งที่ให้ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมรับประทานคอลลาเจนที่สกัดมาจากกระดูกอ่อนของอกไก่ อย่างคอลลาเจนไทพ์ทู ลิขสิทธิ์ยูซีทู (UC–II) พบว่าดังกล่าวช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการข้อยึดติดได้ โดยมีประสิทธิภาพทางการรักษามากกว่ากลูโคซามีนและคอนดรอยตินทั่วไปเมื่อบริโภคในระยะเวลาที่เท่ากัน
  7. สมุนไพรและเครื่องเทศบางชนิด เช่น ขิงและขมิ้น อาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดอาการปวดหรืออาการติดขัดบริเวณข้อต่อกระดูก แต่ขิงอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาวาร์ฟาริน หรืออาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย และแสบร้อนกลางอกได้ ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภคเสมอ
  8. น้ำมันมะกอก อาจนำมาใช้ทดแทนไขมันชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำมันจากเนย เพราะน้ำมันมะกอกปริมาณ 3½ ช้อนโต๊ะ อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ใกล้เคียงกับยาไอบูโพรเฟน 200 มิลลิกรัม หรือยาในกลุ่ม NSAIDs ได้ แต่ขณะเดียวกัน น้ำมันชนิดนี้ก็ให้พลังงานสูงถึง 400 แคลอรี่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวได้ ผู้ป่วยจึงควรบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณที่พอดี
  9. โยเกิร์ต ของหวานยอดฮิตในหมู่สาว ๆ คงหนีไม่พ้นโยเกิร์ต เพราะไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยถูกปากเท่านั้น แต่การทานโยเกิร์ตสามารถช่วยป้องกันการเกิด โรคกระดูกเสื่อม ได้อีกด้วย เนื่องจากในโยเกิร์ตอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินบี2 วิตามินบี12 ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสซียม วิตามินดี ธาตุแมกนีเซียม เป็นต้น อย่างไรก็ดีผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมักมีระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูก ดังนั้นผู้หญิงวัยดังกล่าวควรทานอาหารที่มีวิตามินดีและแคลเซียมสูง ซึ่งการทานโยเกิร์ตสามารถตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว
  10. ผักตระกูลกะหล่ำ ผักในตระกูลกะหล่ำอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี6 โฟเลต ธาตุเหล็ก ธาตุแมงกานีส และธาตุที่จำเป็นต่อการ เสริมสร้างมวลกระดูก ให้แข็งแรงอย่างแมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและแคลเซียม อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิตเช่นกัน
  11. กล้วย กล้วยเป็นหนึ่งในอาหารที่สามารถช่วยป้องกันการเกิด โรคกระดูกเสื่อมข้อเข่าเสื่อม ได้ ซึ่งการทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและสารอาหารอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรง โดยกล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม และธาตุแมกนีเซียม ซึ่งช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของโครงสร้างกระดูก อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ และ หลอดเลือดตีบตัน
  12. ถั่วฝัก ถั่วฝักไม่เพียงแต่อุดมไปด้วยไฟเบอร์และสารต่อต้านอนุมูลอิสระเท่านั้น แต่ยังมีวิตามินดีและธาตุแคลเซียมสูงอีกด้วย โดยเฉพาะถั่วเลนทิลที่ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอดถั่วที่ช่วยป้องกันโรคกระดูกเสื่อมได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ถั่วยังเป็นแหล่งของโฟเลตซึ่งนอกจากจะมีบทบาทสำคัญในการเติบโตของเม็ดเลือดแดงแล้ว ก็ยังมีส่วนช่วยในการ บำรุงรักษากระดูก อีกด้วย
  13. ถั่วอัลมอนด์ ถั่วที่นิยมนำมาเป็นส่วนหนึ่งของขนมหวานอย่าง ถั่วอัลมอนด์ ถูกจัดว่าเป็นแหล่งของแมงกานีส วิตามินอี ไบโอติน คอปเปอร์และไบโอฟลาวิน ซึ่งสารอาหารดังกล่าวมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมวลของกระดูกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ถั่วอัลมอนด์จึงมักถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเมนูอาหารในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
  14. ถั่วงอก คุณทราบหรือไม่ว่าถั่วงอกมีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพคุณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ ไทอามีน คอปเปอร์ เหล็ก แมงกานีส ฟอสฟอรัส วิตามินดี ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะช่วย ป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม แถมยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจอีกด้วย

จากที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า อาหารบางชนิดมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิด โรคกระดูกพรุน ดังนั้นหากไม่อยากให้โรคดังกล่าวถามหา คุณก็ควรหมั่นทานอาหารตามที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือจะลองหาพวก อาหารเสริมบำรุงกระดูก มารับประทานลดความเสี่ยง เพียงเท่านี้โอกาสที่คุณจะเป็นโรคกระดูกพรุนต้องลดลงอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยต้องการบริโภคสารอาหารบางอย่างในรูปแบบอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพราะการบริโภคในปริมาณหรือวิธีการที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค รวมทั้งอาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้เมื่อใช้ร่วมกับยาบางชนิด หรือเมื่อผู้ป่วยกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อยู่

โรคเกี่ยวกับข้อเข่ากับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

แม้การเลือกบริโภคอาหารบางชนิดอาจช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อมได้ แต่ยังมีอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยโรคนี้ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน เพราะอาจส่งผลให้อาการกำเริบขึ้นได้ ซึ่งอาหารต้องห้ามดังกล่าว ได้แก่

  1. เกลือ หากบริโภคเกลือในปริมาณมาก จะทำให้เซลล์เก็บน้ำไว้มากเกินไปจนร่างกายบวมน้ำ ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมควรลดการใช้เกลือและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม
  2. น้ำตาล อาจกระทบต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งทำให้การอักเสบทวีความรุนแรง จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น เค้ก คุกกี้ หรือขนมเบเกอรี่ต่าง ๆ
  3. แป้งขัดขาว อาจกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และทำให้อาการปวดข้อต่อกระดูกรุนแรงขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ทำจากแป้งขัดขาว เช่น ขนมปังขาว พาสต้า ซีเรียล ธัญพืชต่าง ๆ ที่ขัดขาว
  4. อาหารทอด เช่น เฟรนช์ฟราย โดนัท เพราะมีไขมันอิ่มตัวปริมาณมาก ซึ่งอาจเพิ่มการอักเสบภายในร่างกายได้ ผู้ป่วยจึงควรเลือกบริโภคอาหารอบแทนอาหารที่ใช้น้ำมันทอด
  5. เนื้อสัตว์ที่ปรุงด้วยอุณหภูมิสูง เพราะการปรุงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ด้วยอุณหภูมิสูงจะทำให้เกิดสาร AGEs (Advanced Glycation End Products) ที่อาจทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย และอาจเกี่ยวข้องกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ซึ่งสาร AGEs มักอยู่ในเนื้อสัตว์ที่ปรุงด้วยการย่าง ปิ้ง หรือทอด ที่ใช้อุณหภูมิสูง
  6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ เพราะอาจกระตุ้นอาการต่าง ๆ ให้รุนแรงขึ้น และอาจเกิดปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อใช้ร่วมกับยาหรือการรักษาอื่น ๆ ของโรคข้ออักเสบ

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

การ “นวดแก้ปวดเข่า” ช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างดีเยี่ยม

นวดแก้ปวดเข่า

วิธีแก้อาการปวดเข่า

แก้อาการปวดเข่า ซึ่งถือเป็นอาการยอดฮิตของคนทำงานในยุคปัจจุบันที่ดูเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่กลับแฝงอันตรายมากกว่านั้น เพราะอาจนำไปสู่ภาวะเสื่อมของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังอักเสบ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรืออาการอื่นๆ ที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องผ่าตัดเพื่อทำการรักษา

การนวดและการประคบเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเยียวยาอาการปวดเข่าที่หลายๆ ท่านต่างชอบใจ เพราะเวลาที่ได้นวดแต่ละครั้ง นอกจากจะช่วยให้อาการปวดลดลงได้แล้ว เรายังได้ความสบายเนื้อสบายตัวเป็นของแถมในหนังสือเรื่อง คัมภีร์รักษาอาการปวดด้วยตัวเองสำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ เขียนโดย อาจารย์มานพประภาษานนท์ นักกายภาพบำบัด อธิบายว่า การนวดและการประคบ เป็นวิธีรักษาอาการปวดที่ทำได้ด้วยตัวเองโดยการนวดกดจุดที่ปวดและยืดกล้ามเนื้อตรงตำแหน่งนั้น จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นผ่อนคลาย ส่วนการประคบ หากเป็นการประคบร้อนจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว จึงช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ แต่ถ้าหากประคบเย็น จะทำให้เส้นเลือดหดตัว การไหลเวียนของเลือดช้าลง จึงช่วยลดการบาดเจ็บที่เกิดจากการอักเสบได้ดี

เพราะร่างกายมีพลังในการเยียวยาตนเอง ดังนั้น อาการปวดหลัง เอว และขา ที่เป็นเล็กๆ น้อยๆ อย่ารีบไปพึ่งพาใคร เนื่องจากเราสามารถบรรเทาอาการเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง

วิธีแก้ปวดเข่าเสื่อม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.นายแพทย์ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อธิบายไว้ในหนังสือคู่มือการนวดและการใช้อุปกรณ์ช่วยนวดด้วยตนเอง โดยกลุ่มงานการนวดไทย ว่า

“เราสามารถคลายปวดเมื่อยได้ด้วยตนเอง เพียงใช้สองมือกดและบีบเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ทําให้ต่อมและอวัยวะต่างๆ ทํางานได้ดีขึ้น ไม่จําเป็นต้องพึ่งยา ช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาล ประหยัดเวลา และเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมให้เราหันมาใส่ใจสุขภาพ”สําหรับการนวดหลัง เอว และขา คุณสามารถใช้นิ้วหัวแม่มือ ฝ่ามือ ศอก หรืออวัยวะที่ถนัดนวดตัวเองได้ ซึ่งควรเริ่มจากกดนวดเพียงเบาๆ แล้วเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความเหมาะสม

วิธีแก้อาการปวดเข่า

หายใจเข้า-ออกช้าๆ จนร่างกายผ่อนคลาย จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ตามดูลมหายใจที่ผ่านจมูกจนค่อยๆ เข้าสู่ปอด ตามดูจนอากาศเต็มปอด หลังจากนั้นค่อยๆ หายใจออกทางปาก

หลังจากฝึกหายใจจนผ่อนคลายแล้วให้อบอุ่นร่างกายด้วยการบริหารเบาๆ อย่างยืนแกว่งแขน เอียงศีรษะ หมุนเอว หมุนข้อเท้า และกระดกปลายเท้า จะช่วยให้การนวดตัวเองทําได้ง่ายขึ้นนวดตัวเอง คุณอาจเริ่มนวดตัวเองจากไหล่มาที่คอ แผ่นหลัง นวดไล่กลับขึ้นไปบนศีรษะ ใบหน้า คิ้ว แล้วมานวดที่ขาและแขน การนวดช่วยให้ร่างายผ่อนคลายโดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ตึงจากความเครียด

นอกจากนี้ คุณก็ควรขยับนิ้วเท้าเพื่อช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ในพริบตา โดยการขยับนิ้วเท้าขึ้น-ลง จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ส่งผลให้ออกซิเจนและกลูโคสซึ่งเป็นพลังงานของร่างกายไหลเวียนเข้าสู่อวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากรู้สึกว่าร่างกายขาดความกระฉับกระเฉง ลองขยับนิ้วเท้าทั้งสองข้างขึ้นลงพร้อมกัน 20-30 ครั้งจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสมองแจ่มใสขึ้น การจะมีสุขภาพดีอย่ามองข้ามอวัยวะเล็กๆ

วีดีโอสาธิตนวดแก้ปวดเข่า นวดเข่าบิด

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“สมุนไพรรักษาข้ออักเสบ” และอาหารที่ควรทาน

สมุนไพรรักษาข้ออักเสบ

ในปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายกันมากขึ้น และหลายคนคงมีอาการปวดตามข้อเวลาออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาประเภทที่ต้องกระโดด หรือวิ่งมากๆ เป็นเวลานาน และอาจรู้สึกปวดตามข้อ หรือในเวลาที่อากาศเย็นขึ้น บุคคลประเภทนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคข้ออักเสบ

โรคข้ออักเสบ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของโรคกลุ่มนี้ซึ่งแยกออกมาได้กว่า 200 ชนิดที่พบบ่อยมีอยู่ 2 ชนิด คือ โรคข้อเสื่อม หรือข้ออักเสบเรื้อรัง และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือปวดข้อรูมาตอยด์ ทั้ง 2 ชนิด มีสาเหตุของโรคต่างกันคือ

โรคข้อเสื่อมนั้น เกิดจากความทรุดโทรมของกระดูกอ่อนที่หุ้มข้อกระดูกค่อยๆ หายไป ทำให้ข้อกระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหว จนเกิดอาการข้อยึด ส่งผลให้ปวดบริเวณข้อ โดยเฉพาะเวลาอากาศเย็น ส่วนโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สาเหตุที่พบบ่อยคือ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เกิดการทำลายข้อต่อกระดูกของตนเอง และโรคนี่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะช่วยอายุระหว่าง 22-55 ปี และเพศหญิงมีแนวโน้ม ที่จะเป็นโรคนี่ได้มากกว่า เพศชายถึง 3 เท่า ทั้งยังเป็นโรคเรื้อรัง ที่มีอาการเป็นๆ หายๆ ไปตลอด แต่ในผู้ป่วยบ้างชนิดก็เป็นไปได้เช่นกัน

ส่วนผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคข้ออักเสบนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ปกติ หรือแม้แต่นักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง ก็มีสิทธิ์เป็นได้นักกรีฑา นักวิ่ง นักกระโดดสูง ล้วนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะจำเป็นต้องใช้ข้อต่อต่างๆ โดยเฉพาะที่หัวเข่า และข้อเท้ามากเป็นพิเศษ ในการวิ่งหรือกระโดด ทำให้เกิดแรงกดที่ข้อกระดูก เหมือนคนที่มีน้ำหนักมากเช่นกัน

โรคข้ออักเสบเป็นโรคที่พบบ่อย แต่มักจะรู้จักกันในชื่อของ“ข้อเสื่อม”

  1. โรคข้ออักเสบเป็นโรคที่มากับอายุ เกิดจากกระดูกอ่อนระหว่างข้อต่อเสื่อมสภาพลง ทำให้ข้อต่อเสียดสีกันจนเกิดอาการอักเสบและปวดข้อ พบได้บ่อยในผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 45 ปี แต่ในผู้หญิงที่อายุ 45 ปี ขึ้นไปจะพบมากขึ้นเป็น 10 เท่า
  2. ข้ออักเสบอีกชนิดหนึ่งคือโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจำเซลล์ตัวเองไม่ได้ จึงเริ่มต่อต้านและจู่โจมเนื้อเยื่อตัวเองที่อยู่ส่วนปลายของกระดูก กระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และมีผลให้เกิดอาการปวดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะตามข้อ
  3. นักวิจัยพบว่า ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินพิกัด 20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เพิ่มความเสี่ยงโรคข้ออักเสบมากกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติถึง 3 เท่า ฉะนั้นผู้มีน้ำหนักเยอะจึงจำเป็นต้องลดน้ำหนักเพื่อลดภาวะข้อต่อในการรองรับน้ำหนัก
  4. เชื่อหรือไม่ว่า เพียงแค่ลดน้ำหนักลงเล็กน้อย เช่น ½ กิโลกรัม ก็จะบรรเทาอาการปวดลงได้มาก เพราะช่วยลดน้ำหนักที่ข้อต่อจะต้องรองรับได้ถึง 2 กิโลกรัม และยังช่วยลดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่จะตามมากับน้ำหนักตัวได้
  5. การลดน้ำหนักอย่างน้อยเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดอาการปวด

อาหารและสมุนไพรต้านข้ออักเสบ

ส่วนใหญ่แล้วแนะนำให้บริโภคอาหารลักษณะเดียวกับผู้ควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเน้นเป็นอาหารไขมันต่ำ และเน้นให้ทานผัก-ผลไม้เป็นหลัก เพราะคนอ้วนหรือคนที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ แพทย์แนะนำให้พยายามควบคุมน้ำหนัก ควบคู่กับการรักษาโรคด้วยยา โดยเน้นไปที่อาหารกลุ่มธัญพืชที่มีการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง แป้งไม่ขัดขาว และผักใบเขียวต่างๆ ที่เป็นแหล่งเบต้า-แคโลทีน แคลเซียม โดเลต เหล็ก วิตามินซี ควรกินให้ได้ทุกวัน วันละนิดก็ได้ แต่ควรให้รับสม่ำเสมอ

นอกจากอาหารควบคุมน้ำหนักต่างๆ แล้ว ผู้ป่วยโรคนี้ ควรบริโภคปลาที่มีน้ำมันปลาด้วย เพราะมีหลักฐานว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่อยู่ในกฎไขมันไม่อิ่มตัวในปลา มีคุณสมบัติยับยั้งการอักเสบของข้อกระดูก จึงแนะนำให้บริโภคเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออาจกินในรูปของแคปซูลน้ำมัน ปลาแต่ต้องกินตามคำแนะนำบนฉลาก ไม่ควรกินเกินกว่าที่กำหนดไว้ นอกจากน้ำมันปลาแล้ว น้ำมันจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส ก็มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบได้เช่นกัน ก่อนกินควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่า สามารถกินได้หรือไม่

  1. อาหารสามารถป้องกันข้ออักเสบและช่วยในการบำบัดข้อเสื่อมได้ ฉะนั้นสิ่งที่คุณเลือกตักใส่ปากจะมีผลต่อการลดหรือเพิ่มอาการเจ็บปวดของข้อด้วย นักวิจัยชาวเยอรมันพบว่า การอดอาหารช่วงสั้นๆ และตามด้วยการกินอาหารมังสวิรัติประมาณ 3 เดือนช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อได้ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ก็สามารถลดอาการจากโรคข้อเสื่อมได้เช่นกัน
  2. นักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า ผู้ที่ทนทุกข์ทรมานกับโรคข้ออักเสบหลังจากที่เปลี่ยนมาบริโภคอาหารเมติเตอร์เรเนียน ซึ่งประกอบไปด้วย ผัก ถั่วต่างๆ ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา น้ำมันมะกอด และแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะไวน์) เพียงเล็กน้อยติดต่อกันเพียง 3 เดือน (หากไม่มีข้อห้ามจากปัญหาโรคร่วมอื่นหรือจากแพทย์ และจำกัดไขมันอิ่มตัวให้น้อยที่สุด) พบว่า สามารถลดการอักเสบและทำให้ข้อต่อทำงานได้ดีขึ้น
  3. การบริโภคผัก ผลไม้ และสมุนไพรเป็นประจำจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคมากมาย รวมทั้งข้ออักเสบ นักวิจัยจากอังกฤษพบว่า อาหารที่อุดมไปด้วยสารแคโรทีนอยด์ เบต้าคริปโทแซนทิน และ ซีแซนทิน ซึ่งมีสีแดง ส้ม เหลือง เขียว จากผักและผลไม้จะช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ได้ดีกว่าอาหารที่มีสารพิกเมนต์หรือเม็ดสีน้อย นักวิจัยแนะว่า เพียงดื่มน้ำส้มวันละแก้วก็สามารถลดความเสี่ยงของข้ออักเสบรูมาทอยด์ได้
  4. ล่าสุดนักวิจัยพบว่าผลไม้ประเภทเชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำบัดอาการจากโรคข้ออักเสบได้ นอกจากนี้กระเทียม หอม แขนงผัก และกะหล่ำปลี ยังมีสารประกอบของกำมะถันซึ่งมีฤทธิ์เป็นยา ช่วยในการบำบัดอาการข้ออักเสบได้
  5. สมุนไพรบางชนิด เช่น ขิง มีฤทธิ์ลดอาการปวดและต้านการอักเสบ เชื่อกันว่าขิงสามารถช่วยลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ และป้องกันกระเพาะอาหารจากผลข้างเคียงในคนที่ใช้ยาต้านการอักเสบประเภทเอ็นเสดส์ (NSAIDs) ได้ มีข้อมูลการวิจัยทางคลินิกที่แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากขิงช่วยลดอาการปวดจากโรคข้อเข่าได้

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“สมุนไพรแก้ปวดกระดูก” สรรพคุณล้มหลาม

สมุนไพรแก้ปวดกระดูก

สมุนไพรไทย” ช่วยได้ทุกโรค ไม่เว้นแม้แต่อาการปวดเมื่อยจากการนั่งรถหรือเดินทางยาวๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือการคุณตาคุณยายที่นั่งนอนอยู่กับบ้านเป็นเวลานานๆ และมักประสบกับการนั่งโอยลุกโอย “สมุนไพรฤทธิ์ร้อน” ช่วยคุณได้ เนื่องจากอิริยาบถดังกล่าวเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของอาการปวดเมื่อย

สุดยอดสมุนไพร สรรพคุณล้นหลาม

โคกกระออม

สมุนไพรไทยแก้ ข้ออักเสบ บรรเทาปวด แก้ไข้ รูมาตอยด์ สรรพคุณทางยา ใบต้มดื่มแก้หืด ต้นหรือเถาแก้ไอ ดอกขับโลหิต ผลดับพิษไฟลวกน้ำคั้นรากสดห ยอดตาแก้ตาต้อ กากพอกแก้พิษแมลงพิษงู แพทย์จีนใช้ทั้งต้นต้มน้ำดื ่มขับน้ำนมทำให้เกิดน้ำนม ระบายท้อง แก้โรคไขข้ออักเสบ สารสกัดใบทดลองกับหนูขาวสาม ารถลดความดันโลหิตและยับยั้ งการอักเสบได้

ผักกาดน้ำ หรือหญ้าเอ็นยืด

รสและสรรพคุณในตำรายา ใบมีรสหวานเย็น มีฤทธิ์ในการห้ามเลือด ใช้ได้เฉพาะภายนอกเท่านั้น ใช้ใบขยี้ทาผิวลดการอักเสบข องผิวหนัง โขลกพอกแก้แผลเรื้อรังหรือผ ิวหนังอักเสบ ใช้ทาเมื่อถูกแมลงกัดต่อย ทั้งต้น รสหวานเย็น ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ช้ำรั่ว แก้กามโรค แก้ระบบทางเดินปัสสาวะอักเส บ ดับพิษร้อน แก้ท้องร่วง ดับพิษฝี แก้ปัสสาวะแดงหรือเป็นเลือด  แก้ขอบตาเป็นเม็ดบวม ใช้ปรุงเป็นยาโดยผสมสมุนไพร อื่น ได้แก่ ว่านหอยแครง กล้วยหอมตีบ สนหมอก รากบัวหลวง ดอกเก๊กฮวย ฯลฯ นำไปต้มกับน้ำตาลกรวดดื่มเพ ื่อแก้ร้อนในกระหายน้ำ และเจ็บคอ

น้ำมันกานพลู 

น้ำมันกานพลูมีสรรพคุณทางยา  คือ น้ำมันกานพลู เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน โดยใช้สำสีชุบนำมาอุดที่ฟัน  ระงับการกระตุก ตะคริว ขับผายลม แก้ปวดท้อง แก้ท้องอืด ผสมยากลั้วคอ ขับลม แก้ท้องขึ้น ท้องร่วง แก้ไอ ฆ่าเชื้อโรค แก้ชาปลายมือปลายเท้า บรรเทาอาการจากแมลงสัตว์กัด ต่อย แก้โรคลมระงับปวด ใช้ผสมกับ เมนทอล เมทิลซาลิไซเลต เป็นยานวดแก้ปวดบวมช้ำ

น้ำมันใบกระวาน

ราก – นำมาต้มดื่มจะช่วยในการฟอกเ ลือด ขับลม รักษาโรครำมะนาด และละลายเสมหะ
หัวและหน่อ – ใช้ในการขับพยาธิในเนื้อให้ ออกมา นอกจากนี้ยังสามารถรับประทา นคู่กับน้ำพริกได้อีกด้วย
เปลือก – แก้ไข้ แก้อาการผอมและตัวเหลือง รักษาโรคผิวหนังบางชนิด ขับเสมหะ บำรุงธาตุ 
แก่น – รักษาอาการโลหิตเป็นพิษ
ใบ – ขับลม แก้อาการจุกเสียดแน่นอนท้อง  ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย และรักษาอาการโรครำมะนาด
กระพี้ – รักษาโรคผิวหนังบางชนิด และบำรุงโลหิต

กระเม็งตัวเมีย

หมอยาทุกภาคต่างรู้ดีว่ากะเม็งเป็นสมุนไพรทำแผล ช่วยห้ามเลือดและป้องกันการ ติดเชื้อ มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ว ่า สมัยสงครามเวียดนาม กะเม็งเป็นยาคู่สนามรบมีการ นำมาใช้ทั้งสดและแห้งเพื่อห ้ามเลือด นอกจากนำมาใช้รักษาแผลให้คน แล้ว กะเม็งยังเป็นยารักษาแผลในส ุนัขตัวโปรดได้ด้วย

น้ำมันใบโหรพา

“ช่วยผ่อนคลายและลดอาการเครียด” น้ำมันหอมระเหยโหระพามีฤทธิ ์ตอบสนองต่อความตึงตัวของเส ้นประสาท มีผลช่วยบรรเทาอาการปวดหัวท ั่วไป ไปจนถึงอาการปวดหัวจากไมเกร น และความเครียดได้เป็นอย่างด ี พร้อมทั้งช่วยทำให้รู้สึกปล อดโปร่งและสดชื่น เมื่อผสมกับน้ำมันหอมระเหยช นิดอื่นจะช่วยเพิ่มประสิทธิ ภาพในการบำบัด เข้ากันได้ดีกับน้ำมันหอมระ เหยเบอกาม๊อต เจอราเนียม ลาเวนเดอร์ ออเรนจ์สวีท เปเปอร์มินต์ และโรสแมรี่

น้ำมันหอมระเหยเหง้าไพร

ตำรายาไทย: เหง้า ขับโลหิตร้ายทั้งหลายให้ตกเ สีย ขับระดูสตรี แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม ขับลมในลำไส้ ขับระดู ไล่แมลง แก้จุกเสียด รักษาโรคเหน็บชา แก้ปวดท้อง บิดเป็นมูกเลือด ช่วยสมานแผล สมานลำไส้ แก้ลำไส้อักเสบ แก้มุตกิดระดูขาว ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปวดท้อง แก้ท้องผูก แก้อาเจียน แก้ปวดฟัน เป็นยารักษาหืด แก้เคล็ดขัดยอก ข้อเท้าแพลง แก้โรคผิวหนัง แก้ฝี ทาเคลือบแผลป้องกันการติดเชื้อ 

น้ำมันหอมระเหยคาจิพุด

แหล่งที่มาของน้ำมัน Cajeput คือ Melaleuca leucadendra ต้นไม้ชนิดนี้เรียกว่า Melaleuca cajeputi และ Cajeput oil tree ไม้นี้มีไม้สีขาวหนา พบในออสเตรเลียหมู่เกาะระหว ่างออสเตรเลียและมาเลเซียแล ะอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้ใ นการผลิตน้ำมันมะกรูดชนิดอื ่นๆ เช่น Melaleuca minor น้ำมันถูกกลั่นจากใบและกิ่ง ของต้นนี้ อย่างไรก็ตามก่อนการกลั่นส่ วนผสมจะหมักเป็นเวลานาน เนื่องจากน้ำมันมีการกลั่นด ้วยไอน้ำจึงเป็นสารอินทรีย์ และคงไว้ซึ่งสารอาหารเดิม

น้ำมันระกำ

คือใช้เป็นยาระงับปวดชนิดใช ้เฉพาะที่สำหรับบรรเทาอาการ ปวดต่าง ๆ ที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อจากภาวะตึงหรื อเคล็ด ข้อต่ออักเสบ ช้ำ หรือปวดหลัง เป็นต้น โดยยานี้จะช่วยให้ผู้ป่วยรู ้สึกเย็นบริเวณผิวหนังในตอน แรก จากนั้นจะค่อย ๆ อุ่นขึ้น ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจ ากการรู้สึกถึงอาการปวด นอกจากนี้ ยังอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“ปวดเส้นเอ็นหลังหัวเข่า” อาการที่ควรรู้ และหายเองได้หรือไม่?

ปวดเส้นเอ็นหลังหัวเข่า

ปวดเส้นเอ็นหลังหัวเข่า” เป็นอาการ เส้นเอ็นหลังเข่าอักเสบ อาการที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนรักสุขภาพ​ โดยเฉพาะคนที่เล่นกีฬาและออกกำลังกายเป็นประจำ ก็มักจะเกิดอาการเอ็นอักเสบกันบ่อย ๆ หรือในกลุ่มคนที่ใช้ข้อมือทำงานหนัก ๆ กลุ่มนี้ก็เสี่ยงกับอาการเส้นเอ็นอักเสบให้ทรมานร่างกายเช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้เราเข้าใจกับอาการเส้นเอ็นอักเสบมากขึ้น เรามาทำความรู้จักโรคนี้กันค่ะ จะได้รู้วิธีป้องกันและรักษาเส้นเอ็นอักเสบได้อย่างตรงจุด

ปวดเส้นเอ็นหลังหัวเข่า เกิดจากอะไร

เส้นเอ็นอักเสบ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Tendinitis เส้นเอ็นอักเสบคืออาการอักเสบที่เกิดขึ้นในส่วนของเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น มักจะพบผิวเอ็นขรุขระ เยื่อหุ้มเอ็นอักเสบและหนาตัว ทำให้แรงเสียดทานมีมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยเจ็บปวดบริเวณที่เอ็นเสียดสีกับกระดูกหรือปลอกหุ้มเอ็น รวมไปถึงบริเวณที่เอ็นเกาะกระดูก ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการบาดเจ็บ บวม แดง ร้อน อาจมีก้อนนูน ๆ ตามเส้นเอ็น รู้สึกปวดตื้อ ๆ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้น ๆ มีการเคลื่อนไหวร่างกายสะดุด และอาจพบอาการข้อติดได้ในบางราย

เส้นเอ็นหลังหัวเข่า หรือเอ็นไขว้หลังข้อเข่าบาดเจ็บ ฟื้นตัวเองได้แต่ต้องใช้เวลา

ภาวะเอ็นอักเสบที่เกิดจากการใช้งานร่างกายมากเกินไป มักจะรักษาด้วยการพัก คือหยุดพักการใช้งานบริเวณที่เจ็บปวดนั้น ๆ เพื่อป้องกันการอักเสบมากขึ้น รวมทั้งอาจจะบรรเทาอาการปวดด้วยการประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น หรือใช้ยาทาบรรเทาอาการปวด บวม อักเสบ ร่วมด้วย และหากมีอาการปวดมาก แนะนำให้ใช้ผ้าพันแผลชนิดยึดพันให้พอแน่น หรือวางสำลีกดลงตรงที่ปวดแล้วพันแผลเพื่อล็อกไม่ให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนั้น ๆ เคลื่อนไหวเยอะก็ได้ 

อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ควรพบแพทย์ เพราะอาการเส้นเอ็นอักเสบเรื้อรังอาจพบหินปูนหรือแคลเซียมเกาะที่เส้นเอ็นได้ เคสแบบนี้จำเป็นต้องเข้ารับการเอกซเรย์และวิธีรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น กายภาพบำบัด ฉีดยาสเตียรอยด์ แต่หากเป็นกรณีเส้นเอ็นฉีกขาดแล้ว แพทย์จะต้องใช้วิธีผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเส้นเอ็น

เส้นเอ็นหลังเข่าอักเสบ

ความแข็งแรงของข้อเข่า หลัก ๆ จะมาจากเส้นเอ็นไขว้หน้าและหลัง เส้นเอ็นข้างเข่าทั้งด้านในและด้านนอก และกล้ามเนื้อรอบเข่า การบาดเจ็บของเส้นเอ็นไขว้หลังอย่างเดียวนั้นค่อนข้างพบได้น้อยเมื่อเทียบกับโครงสร้างอื่น ๆ 

ในรายที่บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา แนวทางการรักษาแบบไม่ผ่าตัดจะพิจารณาทำในรายที่ข้อเข่าไม่หลวมซึ่งต้องได้รับการตรวจโดยแพทย์ หากเลือกในแนวทางนี้ วิธีการดูแลมีดังนี้ครับ

  1. การบาดเจ็บในช่วงแรกควรที่จะต้องพักการใช้งานของขาข้างนั้น อาจจะใช้ผ้ายืดพันรอบเข่าเพื่อลดอาการบวม ร่วมกับการยกขาสูงและใช้น้ำแข็งประคบใน 24 ชั่วโมงแรก และอาจจะทานยาลดอาการปวด อาการอักเสบ
  2. ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์แรก อาจจะต้องใช้เหล็กประคองข้อเข่า (Hinge knee brace) เพื่อไม่ให้มีการขยับมากร่วมกับการใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดินเพื่อลดแรงที่มากระทำต่อข้อเข่า
  3. พอพ้นช่วงที่มีอาการปวดมากมาสักระยะหนึ่งประกอบเส้นเอ็นเริ่มที่จะติดแล้วใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็เป็นช่วงเวลาที่จะเริ่มทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรงเพื่อช่วยพยุงและรับแรงต่าง ๆ โดยให้เน้นที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps muscle) โดยอาจจะเริ่มจากการเกร็งกล้ามเนื้อโดยยังไม่ต้องยกขาลอย แล้วค่อยเพิ่มมาเป็นการยกขาให้เข่าเหยียดตรงค้างไว้ แล้วอาจจะลองเพิ่มนำ้หนักไว้ที่ปลายเท้าต่อไป โดยรวมแล้วระยะเวลาในการกายภาพบำบัดจะประมาณอีก 2 เดือน

เส้นเอ็นอักเสบ ป้องกันได้ไหม

ในกรณีที่ไม่ได้มีอาการเส้นเอ็นอักเสบจากโรคข้อหรือโรคประจำตัวใด ๆ แต่เกิดจากการใช้งานร่างกายหนักเกินไป เราก็สามารถป้องกันอาการเอ็นอักเสบได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้งานกล้ามเนื้อ-ข้อต่อที่ไม่ถูกต้อง เช่น ออกกำลังกายไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะการออกกำลังกายในขณะที่ร่างกายไม่พร้อม คือร่างกายยังแข็งแกร่งไม่พอ กล้ามเนื้อและข้อต่อยังไม่พร้อมกับการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการไม่ยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายรับไม่ไหว กระทั่งเกิดอาการเส้นเอ็นอักเสบขึ้นมา

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“กลูโคซามีน” สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคเข่าเสื่อม

กลูโคซามีน

ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่า 6 ล้านคนและมีแนวโน้มที่จะเป็นข้อเข่าเสื่อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากคนไทยมีอายุยืนมากขึ้น โรคข้อเข่าเสื่อมก่อให้เกิดความเจ็บปวด ขาโก่ง เข่าผิดรูป ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลง ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ มีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวในที่ต่างๆได้  อาการปวดข้อในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีอาการปวดตอนเดิน หรือยืนนานๆอาการปวดจะค่อยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะที่นั่งอยู่เฉยๆมักจะไม่มีอาการปวด เมื่ออาการเป็นมากขึ้นเข่าจะเริ่มมีอาการผิดรูป เข่าโก่ง หรือเข่าฉิ่งร่วมด้วย โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดเนื่องจากมีการเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ร่วมกับน้ำหนักของร่างกายที่มากจึงทำให้เกิดการเสื่อมของข้อเข่าได้มากขึ้น

กลูโคซามีนคืออะไร

กลูโคซามีน (glucosamine) เป็นสารประกอบประเภทน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ปกติถูกสร้าง และพบในร่างกายของทุกคนอยู่แล้ว กลูโคซามีนจะถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารขนาดโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีโอไกลแคน, ไกลโคโปรตีน, ไกลโคสามิโนไกลแคน, กรดไฮยาลูโรนิก สารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดของร่างกาย โดยจะพบได้มากที่กระดูกอ่อน ซึ่งจะอยู่ที่บริเวณส่วนปลายของกระดูกโดยเฉพาะที่ข้อต่อ กระดูกอ่อนนั้นประกอบด้วยเมทริกซ์ของเส้นใยคอลลาเจนที่มีโปรตีโอไกลแคนอยู่ภายใน โดยโปรตีโอไกลแคนเป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่มีความสามารถในการดึงน้ำเข้ามาหาตัวเองได้ดี จึงทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้ ซึ่งจัดเป็นบทบาทสำคัญของกลูโคซามีนในเรื่องการทำงานของข้อ นอกจากนี้กลูโคซามีนยังมีผลยับยั้งการทำงานของสารอักเสบได้หลายชนิด จึงมีผลลดการอักเสบของข้อด้วย

โดยกลูโคซามีนที่มีจำหน่ายแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ตามการขึ้นทะเบียน คือ (1) ยาอันตราย และ (2) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันในขั้นตอนการยื่นขอขึ้นทะเบียน รวมถึงเอกสารที่จำเป็นในการขอขึ้นทะเบียน กล่าวคือ กลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาอันตราย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาโรคข้อเสื่อม ซึ่งจะต้องมีเอกสารยืนยันถึงการศึกษาทางการแพทย์ที่แสดงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารดังกล่าว และการใช้ยาจะอยู่ภายใต้การสั่งใช้จากแพทย์เท่านั้น ส่วนกลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงใช้รับประทาน นอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติ และในการขอขึ้นทะเบียนไม่จำเป็นต้องแสดงการศึกษาทางการแพทย์ประกอบ สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขได้อนุญาตให้มีกลูโคซามีนชนิดที่เป็นยาอันตรายเท่านั้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียน และจำหน่ายในประเทศได้

กลูโคซามีนใช้กับผู้ป่วยโรคเข้าเสื่อม

กลูโคซามีนใช้ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ข้อเข่าเสื่อมในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่าแต่เพียงอย่างเดียว อาการปวดข้อเข่าพบในผู้ป่วยในหลายอายุ ในวัยหนุ่มสาวหากนั่งทำงานโดยไม่ค่อยบริหารและออกกำลังข้อเข่า อาจมีภาวะกระดูกอ่อนสะบ้าอักเสบ ที่เรียกว่า Chondromalacia Patellae

ภาวะนี้มีอาการปวดเข่าเมื่อเดินขึ้นลงบันได ไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยากลูโคซามีน ในวัยหนุ่มออกกำลังกาย อาจมีการบาดเจ็บของกระดูกอ่อนหมอนรองข้อเข่า ที่เรียกว่า Meniscal Tear มีอาการเจ็บในข้อเข่า ไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยากลูโคซามีน ผู้ป่วยวัยสาวมีอาการเจ็บข้อเข่าด้านใน เกิดจากการเสียดสีของพังผืดในข้อเข่า เรียกว่า Medial Plica ไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยากลูโคซามีน ยากลูโคซามีนควรใช้ในฐานะยากับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเท่านั้น แต่ในฐานะอาหารเสริม คงต้องศึกษาผลดีผลเสียก่อนใช้

กลูโคซามีนคืออะไร

กลูโคซามีนใช้ได้ดีแค่ไหนกับผู้ป่วยเข่าเสื่อม

ด้านประสิทธิภาพของกลูโคซามีนต่อโรคข้อเสื่อม พบว่าการศึกษาทางการแพทย์ขนาดใหญ่ส่วนมากเป็นการศึกษาโดยใช้กลูโคซามีนซัลเฟต (glucosamine sulfate) ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาอันตราย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้รับกลูโคซามีนซัลเฟตในขนาด 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานาน 3 ปี ช่วยลดอาการปวด และช่วยลดการแคบของข้อได้เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใช้ยา (หรือใช้ยาหลอก) แต่การใช้กลูโคซามีนซัลเฟตในระยะสั้น เช่น 3-6 เดือน พบว่าผลการศึกษามีทั้งสองแบบ คือ ให้ผลดีในการรักษา และไม่เห็นความแตกต่างในการรักษาเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใช้ยา นอกจากนี้การศึกษาในผู้ป่วยข้อสะโพกเสื่อมก็ไม่แสดงประโยชน์เหนือกว่าการไม่ใช้ยาเช่นกัน สำหรับกลูโคซามีนในรูปแบบอื่นนั้น พบว่ามีการศึกษาทางการแพทย์บ้าง แต่เป็นเพียงการศึกษาขนาดเล็ก จำนวนผู้ป่วยที่ใช้ศึกษาน้อย เช่น การใช้กลูโคซามีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่ากลูโคซามีนไฮโดรคลอไรด์ให้ประสิทธิภาพในการระงับปวดในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้ไม่แตกต่างจากกลูโคซามีนซัลเฟต

ข้อควรระวังการใช้กลูโคซามีน

จากข้อมูลการศึกษาทางการแพทย์ของกลูโคซามีนดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของกลูโคซามีนในโรคข้อเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น รูปแบบเกลือของกลูโคซามีน ตำแหน่งข้อที่เกิดการเสื่อม ขนาดยาที่ใช้ ระยะเวลาในการใช้ ซึ่งผู้บริโภค/ผู้ป่วยที่มีความประสงค์จะรับประทานกลูโคซามีน โดยเฉพาะในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถหาซื้อได้เองจากร้านขายยาทั่วไป ควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เข้าใจ หรือปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับให้มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้กลูโคซามีนแล้ว กลูโคซามีนในทุกรูปแบบยังมีข้อควรระวังและทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ด้วย ดังนี้

  1. อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยจากการรับประทานกลูโคซามีน คือ คลื่นไส้ ท้องเสีย แสบท้อง ปวดท้อง ท้องอืด นอกจากนี้ยังอาจพบอาการง่วงซึม ผื่นแพ้ผิวหนัง แพ้แสง ปากคอบวม (angioedema) หรือกระตุ้นให้เกิดการจับหืดได้
  2. ควรระมัดระวังการแพ้ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง ปู เพราะกลูโคซามีนที่มีจำหน่ายสังเคราะห์มาจากเปลือกของสัตว์ดังกล่าว
  3. ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมายการรักษา เพราะมีรายงานในสัตว์ทดลองว่ากลูโคซามีนทำให้การหลั่งอินซูลินลดลงได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบรายงานดังกล่าวในคนก็ตาม

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

สาเหตุ และ วิธีรักษาอาการเข่าบวม

สาเหตุ และ วิธีรักษาอาการเข่าบวม

หัวเข่าอาจจะบวมจากการบาดเจ็บของเอ็นกล้ามเนื้อ เอ็นยึด หรือหมอนรองกระดูกเข่า ปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ เช่น โรคข้ออักเสบ อาจจะเป็นสาเหตุของการบวมในข้อเข่า แม้แต่การใช้งานมากเกินไปก็สามารถทำให้หัวเข่าของคุณบวมได้ อาการบวมนั้นอาจจะอยู่ในข้อเข่าหรือในเนื้อเยื่อโดยรอบ คนเรียกอาการหลังว่า “น้ำในข้อเข่า” หลังจากคุณวินิจฉัยอาการหัวเข่าบวมแล้ว คุณอาจจะลองการรักษาที่ทำเองได้ที่บ้าน ถ้าหัวเข่าของคุณยังบวมหรือเจ็บ คุณควรจะไปพบผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการรักษา

วิธีการดูอาการเข่าบ่วมเบื้องต้น

  1. เปรียบเทียบหัวเข่าข้างที่มีอาการกับหัวเข่าอีกข้างหนึ่งของคุณ มองหาอาการบวมรอบๆ กระดูกสะบ้าหัวเข่าหรือรอบๆ ด้านข้างหัวเข่า การเปรียบเทียบหัวเข่าทั้งสองข้างนี้เป็นวิธีที่ดีที่จะเช็คเพื่อดูว่ามีอาการบวมหรือรอยแดงหรือไม่ และดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ อาจจะมีอาการบวมที่ด้านหลังหัวเข่าของคุณอีกด้วย ซึ่งนี่อาจจะส่งสัญญาณของอาการก้อนปมหลังหัวเข่า ซึ่งเกิดเมื่อของเหลวส่วนเกินถูกดันเข้าไปในเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหลังหัวเข่าของคุณ สามารถก่อให้เกิดอาการบวมที่ด้านหลังหัวเข่าของคุณได้ ซึ่งอาจจะแย่ลงตอนที่คุณยืนขึ้นถ้าหัวเข่าข้างที่มีอาการนั้นเป็นสีแดงกว่าและเมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกอุ่นกว่าหัวเข่าอีกข้างหนึ่งแล้วล่ะก็ ให้ไปพบแพทย์
  2. งอและยืดขาของคุณ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายตอนคุณขยับขาล่ะก็ คุณอาจจะมีอาการบาดเจ็บในระดับที่ต้องได้รับการรักษา ซึ่งความรู้สึกไม่สบายนี้อาจจะเป็นความเจ็บปวดหรือความฝืดตึง ความฝืดตึงนี้มักจะเนื่องมาจากของเหลวในหัวเข่าของคุณ
  3. ทดสอบการเดินทิ้งน้ำหนักบนขาของคุณ. ขาที่ได้รับบาดเจ็บอาจจะเจ็บเวลายืนบนขาข้างนั้น ให้ลองทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาของคุณและเดินเพื่อดูว่าขาของคุณสามารถรับมือกับการออกกำลังกายที่ต้องแบกรับน้ำหนักได้หรือไม่
  4. ไปพบแพทย์ แม้ว่าคุณอาจจะสามารถวินิจฉัยอาการบวมในหัวเข่าของคุณได้ แต่คุณก็อาจจะไม่รู้สาเหตุที่แน่นอนเบื้องหลังอาการบวมนั้น ทางที่ดีที่สุดให้ไปตรวจกับแพทย์ถ้าอาการบวมนั้นเป็นติดต่อกัน เจ็บ หรือไม่หายไปภายในสองสามวัน

การปฏิบัติตัวหากเกิดอาการเข่าบวม

  1. หลีกเลี่ยงการงอเข่าและการนั่งยองๆ ควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ที่ใช้หัวเข่าของคุณ ถ้าคุณอยากป้องกันไม่ให้หัวเข่าบวม
  2. งดการออกกำลังกายและกีฬาที่มีแรงกระแทกสูง กีฬาหลายประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่ต้องการการกระโดดและการวิ่งมากๆ จะสามารถเป็นอันตรายต่อหัวเข่าของคุณได้ ให้หลีกเลี่ยงการเล่นสกี สโนว์บอร์ด วิ่ง และบาสเกตบอล จนกว่าหัวเข่าของคุณจะหายสนิทแล้ว
  3. กินอาหารที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ อาหารของคุณอาจจะเป็นสาเหตุของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของอาการบวมในหัวเข่าของคุณหรือที่อื่นๆ ในร่างกายของคุณ พยายามอยู่ให้ห่างจากอาหารแปรรูป ทอด หรือมีน้ำตาล และกินผลไม้ ผัก โปรตีน และธัญพืชให้มากขึ้นกรดไขมันโอเมก้า-3 มีคุณสมบัติต้านการอักเสบสูง กินปลาแซลมอนและปลาทูน่าให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้คุณเอง ลองกินอาหารเมดิเตอร์เรเนียน อาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลาและไก่ และยังมีผัก น้ำมันมะกอก และถั่วเป็นจำนวนมากอีกด้วย
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่. การสูบบุหรี่จะลดการไหลเวียนของออกซิเจนและเลือดในร่างกายของคุณ ซึ่งนี่จะจำกัดความสามารถของเนื้อเยื่อในการซ่อมแซมตัวเองตามลำดับ
  5. สวมตัวซัพพอร์ตเข่าหัวเข่า ถ้าคุณใช้เวลาส่วนมากนั่งบนหัวเข่าของคุณ เช่น การจัดสวนหรือทำงานบ้าน ให้สวมที่รองหัวเข่าถ้าเป็นไปได้ให้ “พักย่อยๆ ” เป็นเวลา 10-20 วินาทีบ่อยๆ ในช่วงเวลาพักเหล่านี้ ให้ยืนขึ้นและยืดขาของคุณ ปล่อยให้ขาของคุณกลับไปอยู่ในตำแหน่งสบายๆ

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี