Posted on Leave a comment

กลุ่ม “ยาทาแก้ปวดเข่า” ที่ได้ผลดี

ยาทาแก้ปวดเข่า

ปัจจัยสาเหตุของอาการปวดเข่า

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของข้อเข่า ได้แก่ อายุ เพศ น้ำหนักตัว การใช้งานของข้อเข่า การบาดเจ็บของข้อเข่า และความแข็งแรงของข้อเข่า เป็นต้น เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีการใช้งานของข้อเข่ามากขึ้นและนานขึ้น ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อเข่า และเป็นโรคเข่าเสื่อมได้ ในเพศหญิงจะพบอาการข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่า เพศชายถึง ๒ เท่า ในคนอ้วนหรือเมื่อน้ำหนักมากขึ้น ข้อเข่าก็จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อรับน้ำหนักตัวของเรานี้ ทำให้โรคนี้ลุกลามมากขึ้น ในด้านการใช้งานของข้อเข่า เช่น การยืนติดต่อกัน นานๆ การขึ้นบันไดจำนวนมาก การนั่งยองๆ การนั่ง พับเพียบ หรือการยกของหนัก เป็นต้น ถ้าต้องทำท่าทางเช่นนี้อยู่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ก็ช่วยเพิ่ม ปัจจัยเสี่ยงให้เป็นโรคนี้มากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย เมื่อใดที่เกิดอุบัติเหตุหกล้มหรือได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่าก็อาจส่งผลกระทบต่อการเสื่อมของข้อเข่าได้ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก เราพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และได้รับแคลเซียมในปริมาณที่พอเพียงจะช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้

การรักษาเข่า โดยใช้ยาสมัยใหม่

หรือยาตามโรงพยาบาล คลินิก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาบำรุงกระดูกอ่อน ส่วนใหญ่แล้วยาประเภทนี้จะเป็นบรูเฟน , อินโดซิด , steroid ซึ่งจะมีผลข้างเคียงอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร ดังนั้นไม่แนะนำให้ทานติดต่อกันเป็นเวลานานครับ ควรจะปรึกษาแพทย์ ครับ

ยาที่ใช้รักษาอาการปวดเข่าก็มีตั้งแต่การใช้ยาแก้ปวดธรรมดาๆเช่น พาราเซตามอล ไม่ค่อยพบปัญหาหาใช้ตามขนาดที่กำหนด ยาแก้ปวดกลุ่มNSAID ซึ่งยากลุ่มนี้มักเป็นปัญหาเพราะหาซื้อง่ายแก้ปวดได้ดี แต่มักส่งผลให้ระคายเคืองกระเพาะอาจทำให้เลือดทางในทางเดินอาหาร หรือกระเพาะทะลุได้ รวมทั้งอาจมีผลต่อหัวใจได้ครับ ดังนั้นควรใช้อย่างระวังในความควบคุมการสั่งโดยแพทย์ครับ

ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (NSAIDs)

ยากลุ่ม NSAIDs (Non Steroidal Anti inflammatory Drugs หรือยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สตีรอยด์) ตัวอย่างเช่น แอสไพริน (aspirin) ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ไดโคลฟีแนก (diclofenac) ไพร็อกซีแคม (piroxycam) เป็นต้น ยากลุ่มนี้เป็นยาที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและอาการอักเสบได้ดี แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ เพราะอาจเกิดการระคายเคืองกระเพาอาหาร ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร มีผลกดการทำงานของไต ทำให้ร่างกายมีน้ำคั่งอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดการบวมน้ำและความดันเลือดสูงขึ้น และยังไปยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เมื่อเกิดแผลแล้วเลือดไหลหยุดยาก ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ยากลุ่มนี้เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดหรืออักเสบเท่านั้น โดยให้กินหลังอาหารทันที เพื่อช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ควรหยุดยา หรือถ้าจะใช้ต่อเนื่องกันควรอยู่ภายใต้การดูแลสั่งจ่ายของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทั้งยังควรระวังการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่เป็นหรือมีประวัติการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร (peptic ulcer) ผู้ป่วยโรคไต และผู้ป่วยโรคเลือด เป็นต้น

การรักษาเข่า โดยใช้ยาสมัยใหม่

ยายับยั้งเอนไซม์คลอออกซิเจน เนส-๒ (COX II inhibitors)

เพื่อลดอาการอันไม่พึงประสงค์ของยากลุ่ม NSAIDs จึงมีความพยายามในการวิจัยและพัฒนายากลุ่มใหม่ที่มีผลข้างเคียงลดน้อยลง คือ ยากลุ่ม COX II inhibitors ตัวอย่างเช่น เซเลค็อกซิบ (celecoxib), โรเฟ็กค็อกซิบ (rofecoxib) เป็นต้น ซึ่งทางทฤษฎีเชื่อว่ามีผลข้างเคียงต่อการระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่ายากลุ่มเดิม แต่เมื่อมีการใช้ยากลุ่มใหม่นี้มากขึ้น ก็พบอาการอันไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด จนเป็นเหตุให้บริษัทผู้ผลิตถอนยาโรเฟ็กค็อกซิบออกจากตลาดไป (เลิกจำหน่าย) พร้อมทั้งเพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับอาการอันไม่พึงประสงค์ของยาที่ยังมีจำหน่ายอยู่ในตลาดให้ระวังเรื่องนี้มากขึ้น

ยากลูโคซามีน (Glucosamine)

ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์บำรุงกระดูกอ่อน และลดการเสื่อมของเนื้อเยื่อข้อเข่า ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการรักษาประมาณ ๑ – ๑ ๑/๒ เดือน จึงจะได้ผลดี

ยาชุด

ยาอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมมากในชนบท คือ ยาชุดแก้ปวดข้อ ที่มีการบรรจุยาหลายชนิด ๓-๕ เม็ดในซองเดียวกัน เพื่อให้กินทั้งหมดครั้งเดียวพร้อมกันเป็นชุด ซึ่งมักประกอบด้วยยาแก้ปวด แก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายกังวล ยาสตีรอยด์ เป็นต้น การใช้ยาชุดนี้มีอันตรายมากถ้ามีการใช้ติดต่อกันนานๆ (โรคข้ออักเสบ เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องใช้ติดต่อกันนานๆ) โดยเฉพาะยาสตีรอยด์ ถ้ามีการใช้ติดต่อกันมากกว่า ๗-๑๔ วัน ยานี้จะไปกดการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย เช่น ไต ภูมิคุ้มกัน เยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นต้น เมื่อไตทำงานน้อยลง น้ำก็จะสะสมในร่างกายมากขึ้น ทำให้ตัวบวมน้ำ ความดันเลือดสูงขึ้น และเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายก็จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยาชุดที่จัดรวมอยู่ในซองเดียวกันจำหน่ายในร้านยาหรือร้านชำทั่วไป เพราะมีอันตรายมาก